blog นี้เป็น blog ที่พูดถึงเทคโนโลยี Internet of Things โดยรายละเอียดที่จะพูดถึงก็จะเกี่ยวกับ ความหมาย แนวโน้ม ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จาก เทคโนโลยี IoT รวมถึงวิธีการสร้างอุปกรณ์เพื่อ ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในเทคโนโลยี IoT ซึ่งอปกรณ์หลักๆ ก็จะประกอบด้วย microcontroller ,sensor ตัวส่งและรับสัญญาณ Internet ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดในหัวข้อต่อๆไป ส่วนในหัข้อนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่า เทคโนโลยี Internet of Things หรือ IoT คืออะไร แนวโน้ม ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จาก เทคโนโลยี IoT จะเป็นอย่างไร
เริ่มต้นจากนี้เลยแล้วกัน
Internet of Things (IoT) คือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์และ เครื่องมือต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ และอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเครื่องมือต่างๆ จะสามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกันได้โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ในอนาคต ผู้บริโภคทั่วไปจะเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขา สามารถควบคุมสิ่งของต่างๆ ทั้งจากในบ้าน และสำนักงานหรือจากที่ไหนก็ได้ เช่น การควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน การเปิดปิดไฟ ไปจนถึงการสั่งให้เครื่องทำกาแฟ เริ่มต้มกาแฟ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องถูกพัฒนาก่อนที่ IoT จะเป็นความจริงขึ้นมา เช่น ระบบตรวจจับต่างๆ (Sensors) รูปแบบการ เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ และระบบที่ฝังตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ แต่ขณะนี้ บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Microsoft และ Cisco ก็หันมาให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้ และในปี 2013 เทคโนโลยี “Internet of Things” จะถูกพูดถึงกันมากขึ้น และจะมีการทำวิจัยและ พัฒนาเพื่อทำให้ สามารถนำมาใช้ได้จริงมากขึ้น (ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง Internet of Things ได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=sfEbMV295Kk)
ในชีวิตประจำวันที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้
ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์นั้นมีความสามารถพิเศษที่อัจฉริยะกว่าเดิม
ตัวอย่างสินค้าภายใต้แนวคิดนี้ได้แก่ ตู้เย็นออนไลน์ที่เจ้าของเครื่องสามารถตรวจสอบสิ่งของในตู้ขณะอยู่ที่ร้านค้า
หรือระบบไฟฟ้าที่ผู้ใช้สามารรถส่งเปิดได้จากนอกบ้าน
ในขณะที่บริษัทผู้ให้บริการด้านระบบการจัดเก็บข้อมูล อย่าง อีเอ็มซี คอร์เปอเรชั่น ได้จัดทำผลการวิจัย
ภายใต้ EMC Digital Universe ครั้งที่ 7 ให้คำจำกัดความว่า “Internet of Things” ประกอบด้วยอุปกรณ์
ในชีวิตประจำวันหลายพันล้านขึ้นที่มีเครื่องวัดและเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ สร้างรายงานและรับข้อมูล เช่นเซ็นเซอร์ในรองเท้าที่เก็บข้อมูลความเร็วในการวิ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้
และผลวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไร้สาย ผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาด (Smart Product) และธุรกิจ
Software-define มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มปริมาณข้อมูลให้กับโลกอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (Internet of Things) ทำให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ สองปี ระหว่างช่วงปี 2013 ถึง 2014 ปริมาณข้อมูลจะเพิ่มประมาณเป็นสิบเท่า จาก 4.4 ล้านล้านกิกะไบต์เป็น 44 ล้านล้านกิกะไบต์ โดย IDC ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมีถึง 2 แสนล้านในปัจจุบันโดยที่ 7% (หรือ 14,000 ล้านชิ้น) มีการเชื่อมต่อและสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้นับเป็นจำนวน 2% ของข้อมูลในโลกปัจจุบัน นอกจากนี้ IDC ยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 ปริมาณอุปกรณ์เชื่อมต่อเหล่านี้จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านเครื่อง ซึ่งนับเป็น 10% ของข้อมูลในโลก Internet of Things จะก่อให้เกิดปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เป็นประโยชน์ (และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อต่อยอดใน Digital Universe ได้) ในปี 2013 มีข้อมูลเพียง 22% เท่านั้นที่นับว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่มีข้อมูลไม่ถึง 5% ที่มีการนำไปวิเคราะห์ ซึ่งเท่ากับว่ามีข้อมูลจำนวนมากใน Digital Universe ที่ถูกละเลย คาดว่าภายในปี 2020 จำนวนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำมีมากกว่า 35% ทั้งนี้ต้องขอบคุณการเติบโตของInternet of Things แต่อย่างไรก็ดีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นยังขึ้นกับองค์กรธุรกิจ“ปรากฏการณ์ Internet of Things เป็นความท้าทายของธุรกิจในการบริหารจัดการ จัดเก็บ และปกป้องข้อมูลจำนวนมากและหลากหลาย แนวโน้มข้อมูลและ Internet of Things จะขยายไปด้วย และด้วยเซ็นเซอร์เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต”
ดังนั้นข้อมูลที่เกิดขึ้นมาจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในทุกมุมมองของธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านจาก
อุตสาหกรรมเดิมไปสู่สิ่งใหม่ อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ และอุปกรณ์จัดเก็บและสำรองข้อมูล การบริการสตอเรจแบบเดิมๆ จะถูกยกระดับให้มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นและรองรับ Digital Universe โดยมี Software-define เป็นตัวควบคุม
ในขณะที่บริษัทผู้ให้บริการด้านระบบการจัดเก็บข้อมูล อย่าง อีเอ็มซี คอร์เปอเรชั่น ได้จัดทำผลการวิจัย
ภายใต้ EMC Digital Universe ครั้งที่ 7 ให้คำจำกัดความว่า “Internet of Things” ประกอบด้วยอุปกรณ์
ในชีวิตประจำวันหลายพันล้านขึ้นที่มีเครื่องวัดและเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ สร้างรายงานและรับข้อมูล เช่นเซ็นเซอร์ในรองเท้าที่เก็บข้อมูลความเร็วในการวิ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้
และผลวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไร้สาย ผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาด (Smart Product) และธุรกิจ
Software-define มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มปริมาณข้อมูลให้กับโลกอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (Internet of Things) ทำให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ สองปี ระหว่างช่วงปี 2013 ถึง 2014 ปริมาณข้อมูลจะเพิ่มประมาณเป็นสิบเท่า จาก 4.4 ล้านล้านกิกะไบต์เป็น 44 ล้านล้านกิกะไบต์ โดย IDC ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมีถึง 2 แสนล้านในปัจจุบันโดยที่ 7% (หรือ 14,000 ล้านชิ้น) มีการเชื่อมต่อและสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้นับเป็นจำนวน 2% ของข้อมูลในโลกปัจจุบัน นอกจากนี้ IDC ยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 ปริมาณอุปกรณ์เชื่อมต่อเหล่านี้จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านเครื่อง ซึ่งนับเป็น 10% ของข้อมูลในโลก Internet of Things จะก่อให้เกิดปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เป็นประโยชน์ (และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อต่อยอดใน Digital Universe ได้) ในปี 2013 มีข้อมูลเพียง 22% เท่านั้นที่นับว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่มีข้อมูลไม่ถึง 5% ที่มีการนำไปวิเคราะห์ ซึ่งเท่ากับว่ามีข้อมูลจำนวนมากใน Digital Universe ที่ถูกละเลย คาดว่าภายในปี 2020 จำนวนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำมีมากกว่า 35% ทั้งนี้ต้องขอบคุณการเติบโตของInternet of Things แต่อย่างไรก็ดีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นยังขึ้นกับองค์กรธุรกิจ“ปรากฏการณ์ Internet of Things เป็นความท้าทายของธุรกิจในการบริหารจัดการ จัดเก็บ และปกป้องข้อมูลจำนวนมากและหลากหลาย แนวโน้มข้อมูลและ Internet of Things จะขยายไปด้วย และด้วยเซ็นเซอร์เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต”
ดังนั้นข้อมูลที่เกิดขึ้นมาจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในทุกมุมมองของธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านจาก
อุตสาหกรรมเดิมไปสู่สิ่งใหม่ อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ และอุปกรณ์จัดเก็บและสำรองข้อมูล การบริการสตอเรจแบบเดิมๆ จะถูกยกระดับให้มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นและรองรับ Digital Universe โดยมี Software-define เป็นตัวควบคุม
อีก 5 ปี สิ่งของกว่าแสนล้านชิ้น หรือ เพิ่มขึ้นกว่า 300% จะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
จากการคาดการณ์ในผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม IT ในอีก 5 ปี ข้างหน้า ณ จากนี้ไป อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันชนิดต่างๆ จะเชื่อมกับระบบอินเทอร์เน็ต เพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันกว่า 300 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณกว่า แสนล้านชิ้น เนื่องจากอุปกรณ์ Sensor ต่างๆ ที่จะติดตั้งในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และส่งสัญญาณต่างๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจะมีราคาลดลงไม่น้อยกว่า 80-90% จากราคาในปัจจุบัน การเชื่อมต่อโดยมี Sensor ที่เกิดขึ้นจากความทันสมัยซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำลงทุกๆ วันของ เทคโนโลยี Micro Electromechanical Sensors (MEMS) นั้นไม่ได้จำกัดเพียงแค่บริบทของชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่อาจจะเป็นการเชื่อมต่อระหว่างสิ่งของในอุตสาหกรรมหนึ่งกับสิ่งของในอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือ อุตสาหกรรมกับหน่วยงาน และ อื่นๆ อีกมากมายหลายบริบท
คน, สิ่งของ และ องค์กร (Human, Thing, and Organization)
องค์กรในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน หรือ หน่วยงานราชการสามารถนำขีดความสามารถของ Internet of Things มาช่วยในการบริหารจัดการสินทรัพย์, การคำนวณ หรือ ประมาณการ ปริมาณการทำงาน, และการพัฒนาสิ่งใหม่ โดยใช้ช้อมูลต่างๆ ที่ถูกรวบรวมผ่าน Sensors Technology แล้วส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มาเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลาง ขอตัวอย่างง่ายๆ ของการประยุกต์ใช้ Internet of Thing เช่น อาคารจอดรถของห้างสรรพสินค้าใหญ่ หรือ อาคารจอดรถของ BTS เป็นต้น อาคารจอดรถเหล่านี้ จะมี Sensor ไว้ตรวจสอบจำนวนรถที่จอดในอาคาร โดย Sensor เหล่านี้ จะส่งสัญญาณว่าพื้นที่ตรงนั้นมีรถจอดอยู่หรือไม่ ทำให้ผู้บริหารจัดการอาคารเหล่านั้นสามารถตรวจสอบได้ว่า มีพื้นที่ตรงไหนว่าง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่จอดรถ ชั้นไหนของอาคารจอดรถ มีพื้นที่ว่าง และสามารถขับรถไปสู่พื้นที่จอดนั้น โดยไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนไปมา จากตัวอย่างข้างต้น จะช่วยให้ท่านเห็นภาพระหว่าง “Thing” ซึ่งก็คือ “รถยนต์” ที่ถูกตรวจจับโดย “Sensor” และ Sensor จะส่งสัญญานไปสู่ Server ผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งอาจจะเป็น “เครือข่ายภายใน (Intranet)” หรือ “เครือภายภายนอกทั้งที่เป็นระบบปิด (Extranet)” หรือ “เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นระบบเปิด (Internet)” หรือการที่แพทย์ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปตรวจคนไข้ที่บ้าน แต่สามารถเช็คอาการต่างๆ ผ่าน Sensor ต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ในอุปกรณ์แพทย์ ณ บ้านคนไข้ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก1. http://www.strategic-man.com
2.นิตยสาร e LEADER ประจำเดือน AUGUST 2014. INTERNET OF THINGS พลิกโฉมไอทีเปลี่ยนเศรษฐกิจโลกแห่งอนาคต, หน้า 42-45
No comments:
Post a Comment